วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

กลยุทธ์การลงทุนสำหรับองค์กร

นักวิเคราะห์หลายรายกล่าวว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะลงทุนในเทคโนโลยี VoIP ก็คือ การใช้งานเครือข่ายที่ใช้โทรสาร การประชุมทางไกล หรือ ข้อมูลอักษร เสียง และกราฟฟิก ให้ได้ประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม การยอมรับ เทคโนโลยีที่ใช้ให้ได้ผลดีอย่างเป็นจริงก็คือ การใช้งานร่วมกับเครือข่ายแบบ WAN เนื่องจากช่วยลดต้นทุน ของสายเช่า เมื่อเปรียบเทียบกับไฮสปีด อินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ สำหรับองค์กรที่กำลังจะเริ่มยอมรับเทคโนโลยีนี้ อาจต้องก้าวผ่านข้ามยุคระบบตู้สาขาแบบเดิมๆ ขยายการลงทุน เพื่อเพิ่มงบประมาณ การลงทุนสำหรับองค์กรยังต้องการความเข้าใจแรกของการจัดสรรแบนด์วิท และยังขึ้นอยู่กับ ขนาด และธรรมชาติของธุรกิจที่จะเริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน องค์กรวิสาหกิจขนาดกลาง และย่อม ตลอดจนธุรกิจท้องถิ่นหลักๆ อาจไม่พบการคืนทุนที่ดีใน VoIP เป็นต้น ดังนั้น ประเด็นที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้บริหารในประเทศไทย ควรเป็นการตรวจสอบโครงสร้างขององค์กร การบริหาร แบนด์วิทที่กำกับดูแลเป็นพิเศษ และความคับคั่งของการจราจรในระบบ ในเวียดนาม กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมได้ระงับการจำหน่ายบริการบัตรโทรศัพท์อินเทอร์เน็ตของ เอฟพีที เทเลคอม อย่างไรก็ตาม ก็ยอมเปิดให้บริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตขาออก จากคอมพิวเตอร์ไปสู่คอมพิวเตอร์ และจากคอมพิวเตอร์ไปสู่โทรศัพท์ ในขณะที่ห้ามการใช้โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตขาเข้า การใช้งาน VoIP ก็ยังไม่ง่ายดายเหมือนการกดสวิทช์ ดังนั้น จึงจำเป็นที่องค์กรจะต้องพิจารณาหน้าที่ การทำงานทั้งหมดที่พวกเขากำลังต้องการจากเครือข่าย VoIP และต้องตระหนักรู้ถึงประเด็นของศักยภาพ ที่ควบคู่ ไปกับการใช้งานเครือข่าย VoIP ในกรณีที่บริษัทต่างๆ มีการใช้โปรโตคอลที่หลากหลายสำหรับเครือข่ายด้านข้อมูล ควรจะเลือกโปรโตคอล ที่หลากหลายสำหรับความต้องการด้าน VoIP ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการในเชิงธุรกิจและเทคนิค ความหลากหลายในโปรโตคอล VoIP ได้เป็นเหตุให้เกิดความสับสนบางประการในตลาด จึงเป็นที่ชัดเจน ว่าความยืดหยุ่นของโปรโตคอลนี้ ที่ทำให้ระบบเสียงที่มีรากฐานจาก VoIP มีประโยชน์เหนือกว่าระบบเสียงแบบเดิม บริษัทต่างๆ ควรเลือกผู้ค้าโดยดูจากข้อเรียกร้องสำคัญสูงสุด 3 ประการดังนี้ การให้คำมั่นสัญญาต่อการสนับสนุนช่วยเหลือมาตรฐานเปิดในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นๆ ผู้ค้าควรมีการพัฒนา กลยุทธ์ด้านเสียง ที่พิจารณาการทำงานระหว่างกันกับโปรโตคอล VoIP ทั้งหมดอย่างกระตือรือร้น หากปราศจาก ข้อนี้แล้ว ระบบ VoIP ก็กำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะอาจกำลังกลายสภาพเป็นระบบเสียงแบบดั้งเดิมไปก็ได้ การสนับสนุนโปรโตคอลได้หลายอย่าง วิธีนี้ หากบริษัทหนึ่งๆ พบว่าตนต้องย้ายระบบ หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ ที่จะสนับสนุนโปรโตคอลที่แตกต่างกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบขายส่ง หรือการอัพเกรด เครือข่ายที่มีนัยสำคัญ การสนับสนุนแบบ end-to-end สำหรับโปรโตคอล VoIP ผู้ค้าหลายรายต้องให้โซลูชั่นที่ทำงานได้ ทั้งในสภาพแวดล้อมแบบโปรโตคอลเดี่ยว และแบบหลายโปรโตคอล องค์กรต่างๆ ยังต้องการที่จะสร้างความมั่นใจว่า โซลูชั่น VoIP ของพวกเขาสามารถตอบสนองความจำเป็นต้องการ ด้านปัจจัยแฝง ความกระวนกระวายใจ แบนด์วิท การสูญเสียของแพ็กเกจ ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัย ที่อยู่ในโครงสร้างพื้นฐานของ VoIP จากการทำงานร่วมกับผู้ค้าต่างๆ ที่สามารถให้ความยืดหยุ่นด้าน VoIP บริษัทต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากความมี ประสิทธิภาพของ VoIP และมุ่งเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายที่เพิ่มขยายได้และน่าเชื่อถือ ซึ่งสนับสนุนความต้องการ ของเครือข่ายในยุคหน้า
VoIP ดูจะเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับรูปแบบการสื่อสารในอนาคตสำหรับธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการหันเหมาสนใจการใช้ระบบ VoIP ทดแทนหรือเสริมกับระบบโทรศัพท์เดิมที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดีระบบการสื่อสารถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กรที่ต้องพิจารณาและศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสนใจลงทุน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.adslthailand.com/forum/viewtopic.php?t=11427 , ข่าว : Telecom Journal
http://www.vcharkarn.com/varticle/17875/5การสื่อสารด้วยระบบ VoIP, มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างข้อมูลกับสัญญาณเสียงเข้าด้วยกัน เทคโนโลยีที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้ก็คือ... เทคโนโลยี Voice over IP หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “VoIP”

VoIP ในเมืองไทย

สำหรับประเทศไทย ปัจจุบัน VoIP ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศได้มากขึ้น ในสภาพแวดล้อมซึ่งอุตสาหกรรมด้านสื่อเคลื่อนที่กำลังคึกคัก ในขณะที่ตลาดการบริการด้าน PSTN telephony และเครือข่าย ที่ควบคุมโดยรัฐยังค่อยเป็นค่อยไป ในขณะนี้ การให้บริการด้านโทรศัพท์ระหว่างประเทศ และอินเทอร์เน็ตยังดำเนินอยู่ภายใต้ การกำกับดูแล ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ขณะที่การให้บริการโทรศัพท์ทางไกลในประเทศนั้น ดำเนินการภายใต้สัมปทานของทั้งทศท. คอร์ปอเรชั่น (เดิมคือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย) และกสท. ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับสัมปทานโครงข่ายเซลลูลาร์ องค์กรด้านโทรคมนาคมส่วนบุคคลล้วนเข้าแถวเพื่อรับการพิจารณาเป็นผู้รับสัมปทาน เพื่อให้บริการโทรศัพท์ระหว่าง ประเทศซึ่งอาศัยเทคโนโลยี VoIP โดยผ่านการเปิดทางจาก ทศท. คอร์ปอเรชั่น ไปยังลูกค้ารายย่อยและธุรกิจถึง 7 ล้านรายทั่วประเทศ บริการโทรศัพท์ทางไกลในประเทศ ช่วยทำให้ลูกค้าต่างๆ รู้สึกยินดีไปกับการประหยัดค่า โทรศัพท์ทางไกลในประเทศลงจากเดิมถึงร้อยละ 37-70 กสท. มีผู้รับสัมปทานด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตถึง 18 ราย ภายใต้การดำเนินการที่แบ่งผลกำไร และใช้ ประโยชน์จาก VoIP สำหรับบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ ด้วยบริการที่เรียกว่า e-Phone ซึ่งช่วยประหยัด ค่าใช้บริการลงถึงครึ่งหนึ่งจากค่าบริการปกติ ถึงแม้ว่า ทศท. และ กสท. เป็นผู้ให้บริการและผู้ออกมาตรการต่างๆ แต่การก่อตั้งของคณะกรรมการด้าน โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ National Telecommunications Committee (NTC) ในฐานะผู้กำกับดูแลอิสระ และผู้มีบทบาทสำคัญในการอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา ด้านโทรคมนาคมในสภานิติบัญญัติ เป้าหมายแห่งการเปิด เสรีในระยะยาวก็ได้รับการกระตุ้นเพื่อการแข่งขันต่อไป ขณะนี้ ใบอนุญาตด้าน VoIP ยังเป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ให้บริการรายอื่น ตลอดจนการจราจรบนอินเทอร์เน็ท ในประเทศไทย ต้องผ่านเกตเวย์ของกสท. ในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ สถานการณ์นั้นแตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น ใบอนุญาตด้าน VoIP ในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เป็นเรื่องที่เปิดกว้าง ในขณะที่กัมพูชา และลาว ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

อนาคตของ และทิศทางบริการของ VoIP

บริการ แบบวอยซ์ โอเวอร์ ไอพี (Voice over IP) เป็นหนึ่งในบริการสุดฮอทของการพัฒนา และการใช้งาน ด้านไอพี แรงผลักดันสำคัญในการยอมรับเทคโนโลยี VoIP สำหรับวงการโทรคมนาคมก็คือ มีราคาถูก รวมถึงการลงทุนแรกเริ่ม และต้นทุนในระยะยาวก็ต่ำ ตลอดจนยังสามารถสร้างรายได้ใหม่ๆ ได้อีก ในขณะที่สามารถสร้างคุณค่าด้าน อรรถประโยชน์สำหรับลูกค้าได้สูง ขณะที่ VoIP มีการขยายตัวมาหลายปี แต่กลับเพิ่งจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อเร็วๆ นี้ ในฐานะทางเลือกหนึ่งที่ใช้งานได้ดี ไม่น้อยกว่าเครือข่ายโทรศัพท์ระบบสวิทช์สาธารณะแบบดั้งเดิม หรือ public switched telephone networks (PSTN) ความจริงแล้ว VoIP ถูกมองจากหลายฝ่ายว่า จะกลายเป็นอนาคตของการสื่อสารด้านเสียง และในอนาคต บริษัท ผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์จะเป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลมากกว่าด้านโทรคมนาคม อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ดังนั้น จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า ในเวลานั้น วงการโทรคมนาคมจะกำหนดมาตรฐานใหม่ ตลอดจน ทำให้ VoIP เป็นที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อไปสู่การใช้งานในวงกว้าง และทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบโครงสร้าง ทางธุรกิจทั้งนี้ องค์กร ตลอดจนวงการโทรคมนาคม ให้ความสนใจและการยอมรับ ได้รับการผลักดันด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งองค์กรต่างๆ สามารถใช้งานได้ โดยประเมินจากเครือข่ายไอพีเดี่ยวเพื่อสนับสนุนทั้งข้อมูลและเสียง แต่ต้นทุน เพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาสู่สิ่งใหม่ๆ บริการและความเสมอภาคด้านคุณสมบัติ คือข้อเรียกร้อง ประการสำคัญ เพราะลูกค้าจะไม่ยอรับคุณภาพเสียงหรือบริการที่ต่ำกว่าที่พวกเขาคุ้นเคยกับระบบเดิมๆ อย่าง PSTN จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ เทคโนโลยี VoIP ก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
การให้ความสนใจในการให้บริการ โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (Voice over IP) ในไทย ปี 2551 มีการจัดอบรมสัมมนาทั้งที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการสนับสนุนของผู้ให้บริการและมี กาจัดอบรมแบบมีค่าใช้จ่าย โดยมีเป้าหมายกลุ่มลูกค้า ที่มีสำนักงานหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ แล้วต้องการที่จะทำ conference ประชุมโทรศัพท์พร้อมๆ กันหลายสายผ่านอินเตอร์เน็ต บริษัทมีหลายสาขาทั่วประเทศไทย และมีการติดต่อโทรศัพท์ไปมาถึงกันระหว่างสาขาบ่อยมากอยากจะลดค่าใช้จ่ายโทรศัพท์, ต้องการเปิดสำนักงานเล็กๆ ให้บริการด้านโทรศัพท์โทรทางไกลระหว่างประเทศ(แบบผ่านอินเตอร์เน็ต) ญาติและลูกอยู่ต่างประเทศต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายโทรทางไกลระหว่างประเทศ เพื่อนำไปติดตั้งและประยุกต์ใช้งานในองค์กร บริษัทเพื่อลดค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มากกว่า 70-80% , ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโทรไปต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก , การให้บริการโทรทางไกลระหว่างประเทศ เมื่อมีการเปิดเสรีโทรคมนาคม

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

อุปกรณ์ที่จำเป็นกับเทคโนโลยี VOIP / อุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของเทคโนโลยี VOIP

สำหรับระบบการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี VOIP จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม ดังนี้
1) อุปกรณ์แปลงสัญญาณ (Internet Access Device: IAD) ซึ่งมีลักษณะเป็นกล่อง ทำหน้าที่แปลงสัญญาณให้สามารถใช้กับโทรศัพท์ทั่วไปได้
2) เครื่องโทรศัพท์ IP-Phone ซึ่งจะเป็นเครื่องโทรศัพท์สำหรับใช้บริการ IP-Phone โดยเฉพาะ
3) อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับตู้สาขาหรือชุมสายโทรศัพท์ภายใน (PBX) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เฉพาะเหมาะสำหรับหน่วยงานที่มีตู้ PBX สำหรับกระจายเลขหมายใช้ภายในหน่วยงาน ทำให้สามารถใช้บริการโทรศัพท์ติดต่อกับภายนอกผ่านบริการ CAT2Call Plus (แต่ถ้าเป็นหน่วยงาน/บ้านพักอาศัย ที่ไม่ได้ใช้ระบบ PBX ก็ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ตัวนี้)



ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี VOIP ให้สามารถใช้บนระบบโทรศัพท์มือถือได้ เช่น โทรศัพท์มือถือค่าย Nokia รุ่น E-series ซึ่งสามารถรองรับการใช้งาน VOIP ได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อใดๆ เพิ่มเติม

โดย Nokia E-Series มี WLAN ที่สามารถรองรับกับระบบการเชื่อมต่อ internet ผ่าน wireless และยังมีเทคโนโลยี SIP Protocalที่ส่งเสริมการใช้งานโทรศัพท์ผ่านระบบ VoIP ที่โทรศัพท์รุ่นอื่นๆ นั้นยังไม่มีเทคโนโลยีนี้รองรับ โดยจะต้องตั้งค่าต่างๆ ภายในเครื่อง และเชื่อมต่อ Internet ผ่านระบบ Wireless เพื่อที่จะใช้งานโทรศัพท์ผ่านระบบ VoIP ที่สามารถโทรหากันระหว่าง SIP Account ฟรี ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนทั่วโลกเพียงแค่สามารถเชื่อมต่อ Internet ได้ หรือการโทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราพิเศษ

ซึ่ง SIP Account ที่นำมาใช้งานควบคู่กับ Nokia E-series นั้น สามารถหาได้จากผู้ให้บริการโทรศัพท์ระบบ VoIP ต่างๆ ที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งในประเทศไทยนั้น ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ ยังมีผู้ใช้งานไม่มากนัก และยังมีผู้ให้บริการไม่กี่รายที่ให้บริการ SIP Account ที่รองรับการใช้งานกับโทรศัพท์มือถือ แต่คาดว่าอีกไม่นานโทรศัพท์ค่ายยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ จะต้องถยอยออกโทรศัพท์มือถือที่มีระบบ VoIP รองรับการใช้งานออกมาอย่างแน่นอน เนื่องจากระบบ VoIP ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การโทรศัพท์เท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของบริษัทต่างๆ ได้อีกด้วย

บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยี VOIP

บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยี VOIP
สำหรับในประเทศไทยผู้ที่เปิดให้บริการการสื่อสารผ่านระบบ VOIP ที่ถูกต้องตามกฎหมายรายแรก คือ CAT Telecom โดยได้เปิดให้บริการ CAT2Call ในระยะแรกซึ่งเป็นบริการโทรศัพท์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (Voice over Internet Protocol: VoIP) แบบ PC-to-Phone หรือ Web Phone ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ภายใต้ชื่อบริการ CAT2Call เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้ใช้บริการที่ต้องการโทรศัพท์ระหว่างประเทศในราคาประหยัด ซึ่งสามารถโทรได้ทันทีขณะที่กำลังใช้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก CAT2Call มีข้อจำกัดที่ผู้ใช้บริการจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต จึงจะสามารถใช้บริการได้ หลังจากนั้น CAT Telecom จึงได้พัฒนาการให้บริการในรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ และเพิ่มกลุ่มผู้ใช้บริการในระดับองค์กร หรืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่เน้นค่าโทรศัพท์ราคาประหยัด โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้การโทรศัพท์ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมโทรแบบ CAT2Call หรือ PC-to-Phone อีกต่อไป
ภายใต้ชื่อบริการ CAT2Call Plus ซึ่งเป็นบริการ IP Phone แบบ Phone-to-Phone ด้วยเทคโนโลยี Session Initiation Protocol หรือที่เรียกกันว่า SIP Phone โดยมีเลขหมายสำหรับการติดต่อและรับสายเรียกเข้าได้ด้วย สามารถใช้บริการผ่าน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต (Broadband Internet) โดยต้องมีความเร็ว (Speed) ของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ระดับ 128 Kbps ขึ้นต้นไป ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตแบบ Hi-Net, Corporate Internet ของ CAT Telecom หรือของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) รายอื่น

ข้อจำกัด/ข้อด้อยของเทคโนโลยี VOIP

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี VOIP จะมีข้อดีตรงที่สามารถช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารทางไกลได้มาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด/จุดด้อยทางเทคนิค ก็คือ ในเรื่องของคุณภาพเสียงซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ดีเท่ากับระบบโทรศัพท์ปกติ และอาจจะมีการดีเลย์หรือสัญญาณเสียงเดินทางมาช้า ทำให้จะต้องรอให้แต่ละฝ่ายพูดให้จบก่อนจึงจะพูดได้ อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวปัจจุบันก็ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนแทบจะไม่มีความแตกต่างอีกต่อไป ข้อเสียอีกประการหนึ่งก็คือ โทรศัพท์ VOIP จะใช้งานไม่ได้เมื่อไฟฟ้าดับ หรืออินเทอร์เน็ตเกิดขัดข้อง สำหรับข้อจำกัดทั่วๆ ไป ก็คือในเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งหากต้องการติดต่อกับปลายทางจะต้องมีการนัดหมายกันล่วงหน้าเพราะจะต้อง Online พร้อมกัน ส่วนกรณีที่ใช้โทรศัพท์ผ่านระบบดังกล่าวก็ยังมีความไม่สะดวกตรงที่ปลายทางก็จะต้องเป็นโทรศัพท์ที่สามารถรองรับระบบดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน

ประโยชน์ที่ได้รับจากเทคโนโลยี VOIP

จากเนื้อหาที่ผ่านมาทำให้ได้ทราบถึงความหมายของเทคโนโลยี VoIP วิวัฒนาการของเทคโนโลยีรวมถึงกระบวนการทำงานของ VoIP แล้ว ดังนั้นในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงข้อดีต่างๆ ของเทคโนโลยี VoIP ว่ามีข้อดีอะไรที่ควรจะนำมาประยุกต์ใช้งานได้

แน่นอนว่าข้อดีอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดของเทคโนโลยี VOIP นี้ก็คือ การประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปอย่างมาก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเสียค่าโทรศัพท์ระยะทางไกลหรือระหว่างประเทศอีก เพราะเทคโนโลยี VOIP จะส่งผ่านระบบเครือข่ายที่เชื่อมถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายภายในองค์กร เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต หรือระบบเครือข่ายอื่นๆ ทั่วโลก ตลอดจนระบบ VoIP ยังจะสามารถขยายขีดความสามารถออกไปได้อย่างไม่มีข้อจำกัด (ขึ้นอยู่กับการเชื่อมกันของระบบเน็ตเวิร์ก) เมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์ระบบเดิม

นอกจากนี้ประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำเทคโนโลยี VOIP มาใช้เพื่อเป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างสาขาที่อยู่ในระยะทางไกล จะทำให้องค์กรได้ประโยชน์ในแง่ของข้อมูลข่าวสารต่างๆ ระหว่างองค์กรมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะมีการสื่อสารแลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างสาขาขององค์กรมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายของการสื่อสารทางไกลอีกต่อไป ทำให้แต่ละสาขาได้รับข่าวสารข้อมูลล่าสุดขององค์กรอย่างทันท่วงที และไม่ต้องมีการรอ ซึ่งอาจนำมาซึ่งการล่าช้าในการปฏิบัติงานและการบริการ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายที่สามารถได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี VOIP เพื่อการประยุกต์ใช้งานมากที่สุด ได้แก่... กลุ่มธุรกิจขนาดย่อม หรือ SME (Small/Medium Enterprise) รวมถึงกลุ่ม ISP (Internet Service Provider) ต่างๆ ซึ่งมีระบบเครือข่ายข้อมูลของตนเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่าย Leased Line, Frame Relay, ISDN หรือแม้กระทั่งเครือข่าย E1/T1 รวมถึงมีระบบตู้สาขาโทรศัพท์ในการใช้งานด้วย เป็นต้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนการใช้งานสัญญาณเสียงผ่านระบบโทรศัพท์ด้วยว่ามีการใช้งานมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าแก่การลงทุนในการพัฒนานำเทคโนโลยี VoIP มาใช้หรือไม่

สำหรับกลุ่มธุรกิจ ISP นั้นสามารถที่จะนำเทคโนโลยี VoIP นี้มาประยุกต์ใช้งานเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในธุรกิจของตนเองมากยิ่งขึ้น โดยทาง ISP ต่างๆ นั้นสามารถให้บริการ VoIP เพื่อเป็นบริการเสริมเพิ่มเติมขึ้นมาจากการให้บริการระบบเครือข่าย Internet แบบปกติธรรมดา หรือที่เราเรียกว่า Value Added Services ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกในการให้บริการกับกลุ่มลูกค้าด้วย

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

IP Phone

Voice Over Ip คืออะไร

Voice Over IP (VoIP) เป็นการสื่อสารบนเครือข่าย Internet โดยการนำข้อมูลเสียงมาบีบอัดและบรรจุลงเป็น Packet IP แล้วส่งผ่านเครือข่าย Internet ไปยังเครื่องปลายทาง ซึ่งเครื่องมือในการแปลงสัญญาณนี้เรียกว่า Router จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณ Digital และทำหน้าที่ในการจัดลำดับความสำคัญของ Packet (Quality of Service : Qos) โดยจะให้ความสำคัญกับข้อมูลประเภทเสียงเป็นลำดับสูงสุด ทำให้การส่งข้อมูลเสียงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ระบบ VoIP จะนำส่งสัญญาณเสียงโดยแปลงเป็นสัญญาณ Digital เมื่อแปลงข้อมูลแล้วจะมีขนาด 64 Kbps การนำเข้าข้อมูลเสียงขนาด 64 Kbps นี้จะนำมาบีบอัดให้เหลือประมาณ 8 – 10 Kbps ต่อช่องสัญญาณเสียงแล้วจึงบรรจุลงใน IP Packet เพื่อส่งสัญญาณผ่านเครือข่าย Internet การติดต่อสื่อสารบนระบบ VoIP สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบโทรศัพท์ที่เป็นตู้ชุมสายภายในองค์กร (Private Branch Exchange: PBX) เชื่อมต่อถึงกันผ่านทางเครือข่าย IP ซึ่งจะทำให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่าง PBX กับ PBX โดยสามารถโทรศัพท์ผ่านเครือข่าย IP รวมถึงการรับส่งข้อมูลไปพร้อม ๆ กันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กร

หลักการทำงานของ VoIP

VoIP ใช้หลักการทำงานเดียวกับการทำงานของ Internet Protocol กล่าวคือ จะแบ่งข้อมูลที่ต้องการส่งย่อยออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนของข้อมูลจะถูกส่งออกไปในเส้นทางที่อาจจะแตกต่างกันบนระบบ Internet โดยที่ข้อมูลแต่ละส่วนอาจจะไปถึงปลายทางในเวลาและลำดับที่แตกต่างกัน ซึ่งหลังจากนั้นจะเรียงลำดับและรูปแบบที่ถูกต้องเหมือนต้นแบบข้อมูลที่ถูกส่งมา ซึ่งสามารถอธิบายกระบวนการทำงานของ VoIP (สมิทธิชัย ไชยวงศ์, รังสิมา เกียรติยุทธชาติ, 2550) ได้ดังนี้

1. การแปลงสัญญาณ Analog ให้ไปอยู่ในรูปแบบสัญญาณ Digital (Pulse Code Modulation : PCM)

2. การแยกสัญญาณออกเป็นส่วน ๆ เพื่อทำการตัดสัญญาณ Echo ออก ซึ่งกระบวนการนี้จะถูกจัดการโดย DSP (Digital Signal Processors)


3. การแบ่งสัญญาณเป็นรูป Fram


4. เปลี่ยนแปลง Fram ของสัญญาณให้อยู่ในรูปของ Packet ซึ่งจะมีการเพิ่ม Header เข้าไปใน Packet โดยส่วนของ Header จะประกอบไปด้วยข้อมูลที่เรียกว่า Sequence Number และ Time Stamp หลังจากนั้น Packet จะถูกส่งต่อไปที่ Host Processor


5. นำ Packet มาใส่ค่า IP Address ปลายทาง


6. เมื่อ Packet มาถึงปลายทาง ข้อมูลของ Header จะถูกแยกออกให้เหลือแค่ Voice Fram หลังจากนั้นจะแปลงสัญญาณ Digital PCM ให้กลับมาเป็นสัญญาณในรูปแบบ Analog ที่เป็นสัญญาณที่ถูกส่งมาจากต้นทางอีกครั้งหนึ่ง


Error Correction
กระบวนการนี้จะเป็นกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นระหว่างการส่งสัญญาณและนำมาซึ่งความผิดเพี้ยนหรือความเสียหายของสัญญาณจนทำให้เราไม่สามารถทำการสื่อสารอย่างถูกต้องได้

Standard of VoIP Technology

สำหรับมาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่บนเทคโนโลยี VoIP นั้น โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 มาตรฐานด้วยกัน ได้แก่... มาตรฐาน H.323 และมาตรฐาน SIP มาตรฐานเหล่านี้ เราสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “Call Control Technologies” ซึ่งถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการนำเทคโนโลยี VoIP มาใช้งานเลยก็ว่าได้ ถ้าอย่างนั้น เราไปทำความรู้จักเกี่ยวกับมาตรฐานทั้ง 2 ตัวนี้กันอย่างคร่าวๆ กันสักนิดก็แล้วกัน...


H.323 Standard
สำหรับมาตรฐาน H.323 นั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับระบบเครือข่ายที่ใช้ Internet Protocol (IP) นอกจากนั้นมาตรฐาน H.323 ยังมีการทำงานที่ค่อนข้างช้า โดยปกติแล้วเราจะเสนอการใช้งานมาตรฐาน H.323 ให้กับลูกค้าก็ต่อเมื่อในระบบเดิมของลูกค้ามีการใช้งานมาตรฐาน H.323 อยู่แล้วเท่านั้น...

  • มาตรฐาน H.323 เป็นมาตรฐานภายใต้ ITU-T (International Telecommunications Union) Standard
  • ในตอนแรกนั้น มาตรฐาน H.323 ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับการทำ Multimedia Conferencing บนระบบเครือข่าย LAN เป็นหลัก แต่มาในตอนหลังจึงถูกพัฒนาให้ครอบคลุมถึงการทำงานกับเทคโนโลยี VoIP ด้วย
  • มาตรฐาน H.323 สามารถรองรับการทำงานได้ทั้งแบบ Point-to-Point Communications และแบบ Multi-Point Conferences
  • อุปกรณ์ต่างๆ จากหลากหลายยี่ห้อ หรือหลายๆ Vendors นั้นสามารถที่จะทำงานร่วมกัน (Inter-Operate) ผ่านมาตรฐาน H.323 ได้

SIP (Session Initiation Protocol) Standard
มาตรฐาน SIP นั้นถือเป็นมาตรฐานใหม่ในการใช้งานเทคโนโลยี VoIP โดยที่มาตรฐาน SIP นั้น ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับระบบ IP โดยเฉพาะ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะแนะนำให้ลูกค้าใหม่ที่จะมีการใช้งาน VoIP ให้มีการใช้งานอยู่บนมาตรฐาน SIP...

  • มาตรฐาน SIP นั้นเป็นมาตรฐานภายใต้ IETF Standard ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่อ VoIP
  • มาตรฐาน SIP นั้นจะเป็นมาตรฐาน Application Layer Control Protocol สำหรับการเริ่มต้น (Creating), การปรับเปลี่ยน (Modifying) และการสิ้นสุด (Terminating) ของ Session หรือการติดต่อสื่อสารหนึ่งครั้ง
  • มาตรฐาน SIP จะมีสถาปัตยกรรมการทำงานคล้ายคลึงการทำงานแบบ Client-Server Protocol
  • เป็นมาตรฐานที่มี Reliability ที่ค่อนข้างสูง

บทนำ

เมื่อเทคโนโลยีสามารถลดขนาดของโลกเหลือเพียงผ่ามือ การติดต่อสื่อสารจากมุมหนึ่งของโลกไปยังอีกมุมหนึ่งของโลกจึงไม่ใช่สิ่งที่ยากอีกต่อไป กับคำกล่าวที่ว่า การสื่อสารย่อโลกจึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในปัจจุบันอย่างไม่ยากเย็นนัก



ในอดีตนั้น การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องที่ยากลำบาก การส่งข่าวจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งใช่เวลาเป็นวัน, เดือน หรือมากกว่านั้น อุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารก็มีการพัฒนาจากอุปกรณ์พื้นบ้านอย่างควันไฟ จนก้าวล่วงมาถึงเทคโนโลยีในยุค 3G อย่างทุกวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้นเทคโนโลยีของการสื่อสารยังก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง หากแต่มีการพัฒนาขึ้นไปตามความต้องการของผู้ใช้ รวมไปถึงการพัฒนาตามแต่จินตนาการของผู้ประดิษฐ์จะนำพาไป



ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านเครือข่าย Internet Protocol เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายแต่เนื่องจากข้อจำกัดบางประการของเทคโนโลยีจึงทำให้การส่งข้อมูลประเภทภาพและเสียงยังไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามได้มีการพัฒนาเทนโนโลยีการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย IP ให้มีประสิทธิภาพสามารถส่งข้อมูลที่เปนทั้งภาพและเสียงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เราเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Voice Over IP : VoIP ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้ให้มากยิ่งขึ้น



เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันได้มีการขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะระบบเครือข่ายสัญญาณข้อมูล หรือ Data Network ซึ่งมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าระบบเครือข่ายสัญญาณเสียงจนสามารถนำสัญญาณเสียงเข้ารวมกับระบบเครือข่ายสัญญาณข้อมูล และสามารถรับ-ส่งสัญญาณทั้งสองพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันเมื่อกว่า 2-3 ปี ที่แล้ว และนับวันจะยิ่งพัฒนาระบบให้มีการใช้งานกันอย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความต้องการที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกันในระยะทางไกลไกล อาทิ การใช้โทรศัพท์บนเครือข่าย การติดต่อด้วยเสียง ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การกระจายสัญญาณเสียงหรือภาพบนเครือข่าย และระบบการสื่อสารด้วยเสียงผ่านเครือข่าย IP ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องระบบโทรศัพท์ได้มากขึ้นด้วย

ระบบการสื่อสารด้วยเสียงผ่านเครือข่าย IP หรือเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลกับสัญญาณเสียงเข้าด้วยกัน ก็คือ... เทคโนโลยี Voice over IP หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “VoIP”

Voice over IP คือ... การที่เราได้นำสัญญาณเสียงมาผสมรวมเข้ากับสัญญาณข้อมูล เพื่อให้สามารถส่งผ่านไปบนระบบเครือข่ายด้วยกันด้วยโปรโตคอลที่มีใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย คือ Internet Protocol หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม IP ซึ่งโดยปกติเราจะใช้ IP ในการส่งสัญญาณข้อมูลเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยี VoIP นี้ ทำให้เราสามารถพัฒนาการสื่อสารผ่านสัญญาณเสียงให้สามารถสื่อสารผ่าน IP ได้

เขียนโดย สุพัตรา ทรายคำ
อินทราณี พหลพลหยุหเสนา