ระบบ VoIP จะนำส่งสัญญาณเสียงโดยแปลงเป็นสัญญาณ Digital เมื่อแปลงข้อมูลแล้วจะมีขนาด 64 Kbps การนำเข้าข้อมูลเสียงขนาด 64 Kbps นี้จะนำมาบีบอัดให้เหลือประมาณ 8 – 10 Kbps ต่อช่องสัญญาณเสียงแล้วจึงบรรจุลงใน IP Packet เพื่อส่งสัญญาณผ่านเครือข่าย Internet การติดต่อสื่อสารบนระบบ VoIP สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบโทรศัพท์ที่เป็นตู้ชุมสายภายในองค์กร (Private Branch Exchange: PBX) เชื่อมต่อถึงกันผ่านทางเครือข่าย IP ซึ่งจะทำให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่าง PBX กับ PBX โดยสามารถโทรศัพท์ผ่านเครือข่าย IP รวมถึงการรับส่งข้อมูลไปพร้อม ๆ กันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กร
VoIP ใช้หลักการทำงานเดียวกับการทำงานของ Internet Protocol กล่าวคือ จะแบ่งข้อมูลที่ต้องการส่งย่อยออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนของข้อมูลจะถูกส่งออกไปในเส้นทางที่อาจจะแตกต่างกันบนระบบ Internet โดยที่ข้อมูลแต่ละส่วนอาจจะไปถึงปลายทางในเวลาและลำดับที่แตกต่างกัน ซึ่งหลังจากนั้นจะเรียงลำดับและรูปแบบที่ถูกต้องเหมือนต้นแบบข้อมูลที่ถูกส่งมา ซึ่งสามารถอธิบายกระบวนการทำงานของ VoIP (สมิทธิชัย ไชยวงศ์, รังสิมา เกียรติยุทธชาติ, 2550) ได้ดังนี้

2. การแยกสัญญาณออกเป็นส่วน ๆ เพื่อทำการตัดสัญญาณ Echo ออก ซึ่งกระบวนการนี้จะถูกจัดการโดย DSP (Digital Signal Processors)

3. การแบ่งสัญญาณเป็นรูป Fram

4. เปลี่ยนแปลง Fram ของสัญญาณให้อยู่ในรูปของ Packet ซึ่งจะมีการเพิ่ม Header เข้าไปใน Packet โดยส่วนของ Header จะประกอบไปด้วยข้อมูลที่เรียกว่า Sequence Number และ Time Stamp หลังจากนั้น Packet จะถูกส่งต่อไปที่ Host Processor

5. นำ Packet มาใส่ค่า IP Address ปลายทาง

6. เมื่อ Packet มาถึงปลายทาง ข้อมูลของ Header จะถูกแยกออกให้เหลือแค่ Voice Fram หลังจากนั้นจะแปลงสัญญาณ Digital PCM ให้กลับมาเป็นสัญญาณในรูปแบบ Analog ที่เป็นสัญญาณที่ถูกส่งมาจากต้นทางอีกครั้งหนึ่ง
Error Correction
กระบวนการนี้จะเป็นกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นระหว่างการส่งสัญญาณและนำมาซึ่งความผิดเพี้ยนหรือความเสียหายของสัญญาณจนทำให้เราไม่สามารถทำการสื่อสารอย่างถูกต้องได้
Standard of VoIP Technology
สำหรับมาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่บนเทคโนโลยี VoIP นั้น โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 มาตรฐานด้วยกัน ได้แก่... มาตรฐาน H.323 และมาตรฐาน SIP มาตรฐานเหล่านี้ เราสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “Call Control Technologies” ซึ่งถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการนำเทคโนโลยี VoIP มาใช้งานเลยก็ว่าได้ ถ้าอย่างนั้น เราไปทำความรู้จักเกี่ยวกับมาตรฐานทั้ง 2 ตัวนี้กันอย่างคร่าวๆ กันสักนิดก็แล้วกัน...
H.323 Standard
สำหรับมาตรฐาน H.323 นั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับระบบเครือข่ายที่ใช้ Internet Protocol (IP) นอกจากนั้นมาตรฐาน H.323 ยังมีการทำงานที่ค่อนข้างช้า โดยปกติแล้วเราจะเสนอการใช้งานมาตรฐาน H.323 ให้กับลูกค้าก็ต่อเมื่อในระบบเดิมของลูกค้ามีการใช้งานมาตรฐาน H.323 อยู่แล้วเท่านั้น...
- มาตรฐาน H.323 เป็นมาตรฐานภายใต้ ITU-T (International Telecommunications Union) Standard
- ในตอนแรกนั้น มาตรฐาน H.323 ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับการทำ Multimedia Conferencing บนระบบเครือข่าย LAN เป็นหลัก แต่มาในตอนหลังจึงถูกพัฒนาให้ครอบคลุมถึงการทำงานกับเทคโนโลยี VoIP ด้วย
- มาตรฐาน H.323 สามารถรองรับการทำงานได้ทั้งแบบ Point-to-Point Communications และแบบ Multi-Point Conferences
- อุปกรณ์ต่างๆ จากหลากหลายยี่ห้อ หรือหลายๆ Vendors นั้นสามารถที่จะทำงานร่วมกัน (Inter-Operate) ผ่านมาตรฐาน H.323 ได้
SIP (Session Initiation Protocol) Standard
มาตรฐาน SIP นั้นถือเป็นมาตรฐานใหม่ในการใช้งานเทคโนโลยี VoIP โดยที่มาตรฐาน SIP นั้น ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับระบบ IP โดยเฉพาะ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะแนะนำให้ลูกค้าใหม่ที่จะมีการใช้งาน VoIP ให้มีการใช้งานอยู่บนมาตรฐาน SIP...
- มาตรฐาน SIP นั้นเป็นมาตรฐานภายใต้ IETF Standard ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่อ VoIP
- มาตรฐาน SIP นั้นจะเป็นมาตรฐาน Application Layer Control Protocol สำหรับการเริ่มต้น (Creating), การปรับเปลี่ยน (Modifying) และการสิ้นสุด (Terminating) ของ Session หรือการติดต่อสื่อสารหนึ่งครั้ง
- มาตรฐาน SIP จะมีสถาปัตยกรรมการทำงานคล้ายคลึงการทำงานแบบ Client-Server Protocol
- เป็นมาตรฐานที่มี Reliability ที่ค่อนข้างสูง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น